การแพร่ของสารหรือการเคลื่อนที่ของสารผ่านเซลล์แบ่งเป็น การแพร่สารที่มีโมเลกุลเล็ก (small molecule) Passive Transport คือ การลำเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยไม่ใช้พลังงานจากเซลล์ 1. 1การแพร่ (Diffusion) เป็นการเคลื่อนที่ของโมเลกุลหรืออิออน โดยอาศัยพลังงานจลน์ในตัวเอง การเคลื่อนที่ของสารที่มีความเข้มข้นสูงไปยังความเข้มข้นต่ำ (จากมากไปน้อย) จนบริเวณทั้งสองจะมีความเข้มข้นเท่ากัน ซึ่งเรียกว่า สมดุลของการแพร่(Dynamic equilibrium) อนุภาคของสารยังมีการเคลื่อนที่อยู่ แต่ความเข้มข้นเฉลี่ยเท่ากันทุกบริเวณ ▪ ปัจจัยที่ควบคุมอัตราการแพร่ของสาร 1. ความเข้มข้นของสารที่แพร่=สารที่มีความเข้มข้นสูงจากแพร่ไปสู่ความเข้มข้นต่ำ 2. อุณหภูมิ=การเพิ่มอุณหภูมิทำให้การแพร่เป็นไปอย่างรวดเร็ว 3. ความดัน=การเพิ่มความดันทำให้โมเลกุลหรือไอออนของสารเคลื่อนที่ 4. ขนาดและน้ำหนักของอนุภาคที่แพร่=ถ้าอนุภาคเล็กและเบาจะมีอัตราการแพร่เร็วกว่าสารที่มีอนุภาคใหญ่และหนัก 5. ความหนาแน่นของตัวกลางสารที่มีคุณสมบัติเหมือนกันแต่แพร่ผ่านตัวกลางต่างชนิดกันอัตราการแพร่จะไม่เท่ากัน 6. ความสามารถในการละลายของสารที่แพร่=สารที่ละลายได้ดีจะมีอัตราการแพร่สูงกว่าสารที่ละลายได้น้อย 1.
ยุพา ผลโภค, คู่ทือเรียนชีววิทยา ฉบับเอ็นทรานซ์ ระบบใหม่. สำนักพิมพ์ SCIENCE CENTER
ฟาโกไซโทซิส (Phagocytosis) สารที่ลำเลียง: ของแข็ง วิธีการ: ยื่นเท้าเทียม (Pseudopodium) ออกไปโอบล้อม แล้วสร้างเป็นถุงเข้ามาในเซลล์ เรียกว่า Cell Eating เช่น การจับกินเชื้อโรคของเซลล์เม็ดเลือดขาวกลุ่มฟาโกไซต์ การกินอาหารของอะมีบา พารามีเซียม 2. พิโนไซโทซิส (Pinocytosis) สารที่ลำเลียง: ของเหลว วิธีการ: เยื่อหุ้มเซลล์คอดเว้าเข้ามากลายเป็นเวสิเคิล (vesicle) ล้อมไว้ เรียกว่า Cell Drinking เช่น การแลกเปลี่ยนระหว่างหลอดเลือดฝอยกับเซลล์ การลำเลียงสารเข้าสู่เซลล์บริเวณท่อหน่วยไต และการนำสารเข้าสู่เซลล์ของเยื่อบุลำไส้เล็ก 3.
การลำเลียงโดยการสร้างถุงจากเยื้อหุ้มเซลล์ เยื้อหุ้มเซลล์มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบที่รวมตัวหรือแยกตัวออกจากกันกได้จึงทำให้เกิดกระบวนการ การนำสารจากภายนอกเซลล์ และการลำเลียงสารวิธีที่ต้องอาศัยพลังงานมี 2 วิธี คือ 3. 1 เอนโดไซโทซิส(ENDOCYTTTOSIS) เป็นการนำสารจากภายนอกเซลล์เข้าสู่ภายในเซลล์ สารนั้นอาจเป็นของไหลหรือของแข็งที่มีโมเลกุลใหญ่ก็ได้ เอนโดไซโทซิส(ENDOCYTTTOSIS)แบ่งออกเป็น 3 วธี 3. 1 พิโนไซโทซิส(PINOCYTOSIS) เป็นวิธีนำสารที่เป็นของเหลวเข้าสู่เซลล์โดยที่เยื่อหุ้มเซลล์เมมเบรนจะเว้าและหุ้มรอบโมเลกุล 3. 2 ฟาโกไซโทซิส(PHAGOCYTOSIS) เป็นวิธีที่นำสารที่เป็นของแข็งที่มีโมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์ด้วยหลักการเหมือนพิโนไซโทซิส 3. 3 การนำสารเข้าสู่เซลล์โยอาศัยตัวรับ(RECEPTOR-MEDIATED ENDOCYTOSIS) เป็นกระบวนการเอนโดไซโทซิสที่มีตัวรับบนเยื้อหุ้มเซลล์ทำหน้าที่จับกับสารที่จะนำเข้าสู่เซลล์ก่อนที่จะเกิดการเว้าของเยื่อหุ้มเซลล์ 3. 2 เอกโตไซโทซิส (EXTOCYTOSIS) -เป็นวิธีการลำเลียงและขับสารที่เซลล์สร้างขึ้นออกจากเซลล์ ด้วยวิธีการคล้ายกับการนำสารจากภายนอกเซลล์เข้าสู่เซลล์แต่มีทิศทางตรงกันข้าม โดยสารที่เซลล์สร้างขึ้นจะถูกลำเลียงอยู่ในถุงเวสซิเคิลถุงนี้จะหลอมรวมกับเยื้อหุ้มเซลล์เมมเบรนแล้วเปิดสู่ภายนอกเซลล์ ที่มา รองศาสตราจารย์ ดร.
2 การออสโมซิส (osmosis) คือการแพร่ของน้ำผ่านเยื่อเลือกผ่าน (differentially permeablemembrane) น้ำจะแพร่จากบริเวณที่มีความหนาแน่นของน้ำมาก(สารละลายเจือจาง) ไปยังบริเวณที่มีความหนาแน่นของน้ำน้อย(สารละลายเข้มข้น) จนกระทั่งถึงจุดสมดุล ทุกครั้งที่เกิดการออสโมซิสจะเกิดแรงดัน ซึ่งเรียกว่าแรงดันออสโมติก (osmotic pressure "OP. ) น้ำจากภายนอกให้เข้าสู่ภายในเท่ากับน้ำจากภายในแพร่ออกสู่ภายนอก -แรงดันเต่งมีค่าสูงสุด=แรงดันออสโมติก -แรงดันเต่ง (Turgor pressure" TP. ) เป็นเเรงดันที่เกิดขึ้นภายในอันเนื่องมาจากน้ำแพร่เข้าไป -แรงดันเต่งสูงสุดและมีค่าเท่ากับแรงดันออสโมติกของสารละลาย -แรงดันเต่งมีความสําคัญมากในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเพราะทำให้เซลล์สามารถรักษารูปร่างได้ เช่น การรักษารูปร่างลักษณะของเซลล์สัตว์หรือในพืช การที่ใบกางเต็มที่ ยอดตั้งตรงดี ใบผักกรอบ เนื่องจากภายในเซลล์มีแรงดันเต่งมากนั่นเอง 1. 3 การแพร่แบบฟาซิลิเทต (Facilitate diffusion) มีหลักการเดียวกับการออสโมซิส แต่อาศัยใส่ตัวนำซึ่งเป็นโมเลกุลของโปรตีนที่ประกอบอยู่เป็นเยื่อหุ้มเซลล์ จับตัวกับโมเลกุลของสารแล้วพาผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปในไซโตพลาสซึม แล้วโมเลกุลของโปรตีนก็จะกลับมาอยู่ที่ด้านนอกของเซลล์เช่นเดิม กระบวนการนี้ไม่ต้องอาศัยพลังงานแต่อาศัยตัวนำ 1.
n. การขนส่ง, การนำส่ง, การส่ง, การลำเลียง, การขนย้าย, การเนรเทศ, วิธีการขนส่ง, พาหนะขนส่ง, เครื่องบินโดยสาร, เครื่องบินบรรทุก, ระบบขนส่งมวลชน, อารมณ์รุนแรง, นักโทษที่ถูกเนรเทศ.