หมากฝรั่ง การเคี้ยวหมากฝรั่ง ก็ทำให้เกิดอาการท้องอืดได้เหมือนกัน เพราะในหมากฝรั่งโดยส่วนใหญ่จะใช้สารให้ความหวาน เช่น ซอร์บิทอล ไซลิทอล โดยสารเหล่านี้จะดูดซึมในลำไส้เล็กได้ช้า จึงทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ง่าย 6.
ข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารชนิดที่ละลายน้ำได้ ที่ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น และยังทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำเล็ก ๆ ที่ช่วยดูดซับคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็กและขับออกจากร่างกาย 2. ลูกพรุน ลูกพรุน มีไฟเบอร์กากอาหารมาก ซึ่งจะช่วยในการขับถ่าย เมื่อลูกถ่ายยาก อาจบดเนื้อลูกพรุนให้ลูกกินซัก 2 ช้อนชา หรือ ให้ลูกดื่มน้ำลูกพรุน 3. กีวี กีวีอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารสูงซึ่งจะช่วยเพิ่มกากใยอาหารได้ จะกินผลกีวีสด ๆ หรือจะดื่มน้ำกีวีปั่นก็ได้ เพราะกีวีจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและกระตุ้นการลำเลียงอาหารภายในลำไส้ ซึ่งมีผลช่วยแก้อาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี 4. เมล็ดแฟล็ก (Flaxseed) คือ เป็นอาหารที่มีใยอาหารสูง อุดมไปด้วยแร่ธาตุ และเนื่องจากมีไฟเบอร์สูงมาก จึงช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่ม และขับออกได้ง่าย นำเมล็ดแฟล็กมาทำเมนูง่าย ๆ ให้ลูกน้อย เช่น โรยเป็นทอปปิ้งใส่ในเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ปั่น โยเกิร์ต 5. กล้วย กล้วยอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ที่สำคัญต่อร่างกาย อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ แต่ต้องคอยสังเกตเพราะเด็กบางคนกินกล้วยมากไปก็ทำให้ท้องผูกได้ 6. แอปเปิ้ล มีสารต้านอนุมูลอิสระ เและมีไฟเบอร์เพคตินธรรมชาติ ซึ่งดีระบบขับถ่ายของลูกน้อย แอปเปิ้ลยังเป็นแหล่งของใยอาหารธรรมชาติ หรือ พรีไบโอติก อย่างอินนูลิน และโอลิโกฟรุคโตสด้วย 7.
ลูก1เดือนพอดีเปลี่ยนนมผงคะ กลายเป็นลูกไม่ถ่ายมา2-3วันแล้วทำไงดีคะ ลูกท้องอืดร้องงอแง เขียนข้อความตอบกลับ ให้น้องกินไกร์วอเตอร์นิดหน่อย กับกระตุ้นระบบขับถ่ายด้วยการนวดบริเวณท้องรอบสะดือเบา ๆ ตามเข็มนาฬิกา ยกขาน้องขึ้นแล้วทำท่าเหมือนปั่นจักรยาน และใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดบริเวณก้นน้องช่วยได้ค่ะ. เป็นการกระตุ้นระบบขับถ่าย อาจใช้เสียงเบ่งอึร่วมด้วยเพื่อให้น้องเบ่งตามนะค่ะ VIP Member ทามหาหิงค์ไปก่อนค่ะแม่ แล้วก็เปลี่ยนนม
ผักดิบ ผักสด เมื่อเด็กเล็กอายุครบ 6 เดือน จะเริ่มบดเคี้ยวอาหาร รวมถึงผักชนิดต่างๆ ได้แล้ว แต่ต้องเป็นผักที่ปรุงสุกแล้ว และมีความอ่อนนุ่ม บดง่าย เคี้ยวง่าย เช่น ถั่วต้ม แครอทต้มให้นุ่ม คุณแม่ไม่ควรให้ลูกกินผักดิบๆ ผักสดกรอบๆ ที่ต้องใช้ฟันเคี้ยวแรงๆ เช่น ผักกาดขาว แตงกวา เพราะลูกอาจสำลักได้ อีกทั้งกระเพาะของเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ ยังอ่อนอยู่ ย่อยสาร Nitrates หรือสารกันเสียในผักไม่ได้ อาจทำให้การไหลเวียนเลือดในร่างกายเด็กผิดปกติ หนักสุดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลย! :( 7. น้ำผึ้ง คุณแม่หลายคนคิดว่า 'น้ำผึ้ง' มีรสหวานจากธรรมชาติ ไม่น่าจะมีอันตราย แต่น้ำผึ้งก็คือของดิบ แม้โอกาสจะน้อย แต่ก็เป็นไปได้ที่น้ำผึ้งจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่เช่นกัน เช่น เชื้อแบคทีเรียที่เป็นพิษต่อลำไส้เด็กเล็ก ทำให้ท้องผูก ท้องอืด วิงเวียน อาหารเป็นพิษ ร้ายแรงสุดก็ถึงขั้นเป็นอัมพาต (infant botulism) ซึ่งมักเจอในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี ดังนั้นถ้าอยากให้กินน้ำผึ้ง คุณแม่ควรรอให้เด็กอายุครบ 1 ขวบขึ้นไปเสียก่อน และอย่าให้กินเยอะเกินไป เพราะน้ำผึ้งมีน้ำตาลสูง ทำให้ฟันผุได้ค่ะ 8.
7ประเภทอาหารที่เจ้าตัวเล็กควรหลีกเลี่ยง #เรื่องกินเรื่องใหญ่! เชื่อว่าหนึ่งในเรื่องกังวลใจของเหล่าคุณแม่มือใหม่ ที่เพิ่งมีเจ้าตัวน้อยก็คือ 'อาหารชนิดใดบ้างที่ลูกยังกินไม่ได้' จะป้อนอะไรให้ที คิดแล้วคิดอีก เพราะร่างกายทารกและเด็กเล็ก ยังไม่มีภูมิต้านทานเต็มที่ ยิ่งในช่วงขวบปีแรก ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะพัฒนาการด้านการกลืน การเคี้ยวยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ ให้ผิดก็กลัวลูกจะเป็นอันตรายอีก:( วันนี้พี่วาฬคูมุ จึงรวบรวมข้อมูลมาฝากว่า มีอาหารประเภทใดที่ไม่เหมาะกับเด็กเล็ก(อายุต่ำกว่า 2 ขวบ) คุณแม่ทั้งหลายควรหลีกเลี่ยงบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ อาหารที่มีรสเค็ม 1. อาหารที่มีรสเค็มจัด เช่น ไส้กรอก เบคอน แคร็กเกอร์ เด็กเล็กๆ ไม่ควรกิน 'เกลือ' มากเกินไปค่ะ เพราะจะทำให้ไตของลูกทำงานหนัก เป็นอันตรายต่อไตได้ ไม่ควรเหยาะ หรือเติมเกลือในอาหาร หรือน้ำซุป ควรเลี่ยงซุปก้อน/น้ำสต็อกที่มีส่วนผสมของเกลือสูง และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัดๆ เช่น ไส้กรอก เบคอน หรือแคร็กเกอร์โรยเกลือ คุณแม่ควรให้อาหารรสอ่อน ปรุงรสตามธรรมชาติจะดีที่สุดนะคะ ^_^ ผลไม้ชิ้นใหญ่ 2. เนื้อสัตว์ ชีส หรือผลไม้ชิ้นใหญ่ ' อาหารชิ้นใหญ่ ' ไม่เหมาะกับปากของเด็กที่มีขนาดเล็ก อาจทำให้เด็กกลืนแล้วสำลัก ติดคอ คุณแม่ควรหั่นชิ้นเนื้อสัตว์ ชีส หรือผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดไม่เกินปลายนิ้วมือ หรือฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนนำมาป้อนลูก และควรเลี่ยงผลไม้ขนาดเล็กที่มีเมล็ดอยู่ด้านใน เพราะเสี่ยงที่เมล็ดจะติดคอเด็กได้ เช่น องุ่น แตงโม ส้ม ( ถ้าจะให้กิน ควรแคะเมล็ดออกให้หมดก่อนนะคะ ><) 3.
ที่มา: 1, 2 มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!
"ลูกอาเจียน" บอกอะไร?